อาหารแก้โรคท้องผูก เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุดในการจัดการกับโรคท้องผูก โดยที่ไม่ต้องใช้ยาด้วยซ้ำ ท่านใดที่ท้องผูกบ่อย ขับถ่ายลำบาก ลองเอาอาหารเหล่านี้ไปลองทานดู แล้วอาการของคุณจะดีขึ้น
อาหารที่ช่วยแก้โรคท้องผูกได้ดีที่สุด
- ธัญพืช และข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี
ในธัญพืช และข้าวที่ไม่ผ่านการขัดสี นอกจากจะเป็นแหล่งรวมวิตามินและแร่ธาตุที่สำคัญทางอาหารแล้ว ในธัญพืช ยังอุดมไปด้วยไฟเบอร์ หรือกากใย ที่จะช่วยเกี่ยวกับการย่อยอาหาร และการขับถ่าย ทำให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น ธัญพืชที่ควรหามารับประทานได้แก่ ลูกเดือย ข้าวกล้อง ข้าวไรซ์เบอรี่ เป็นต้น สามารถรับประทานทุกวันได้เลย
- ถั่วประเภทต่างๆ
การรับประทานถั่ว ก็ช่วยแก้ท้องผูกได้เช่นกัน เพราะว่าในถั่วจะมีน้ำมัน ซึ่งจะทำให้การขับถ่ายง่ายขึ้น และยังมีวิตามิน แร่ธาตุอีกหลายชนิดที่มีประโยชน์กับร่างกาย มีกากใยที่สูง นอกจากนี้ยังช่วยในการลดน้ำหนักได้อีกด้วย แต่ว่าการรับประทานถั่วต้องควบคุมปริมาณให้ดี ไม่ควรทานเยอะเกินไป สักวันละ 1 กำมือ ถือว่ากำลังดี หากทานเยอะไปอาจจะทำให้น้ำหนักเพิ่มขึ้นได้
- ผักใบเขียว
ถือว่าเป็นแหล่งรวมไฟเบอร์ที่เยอะที่สุดเลยก็ว่าได้ สำหรับผักใบเขียว เช่น คะน้า ผักกาดกวางตุ้ง ผักบุ้ง ตำลึง การทานผักเหล่านี้เป็นประจำทุกวัน จะทำให้ป้องกันโรคท้องผูกได้ดี ที่สำคัญผักใบเขียวจะมีปริมาณคาร์โบไฮเดรตที่ต่ำ ทำให้ไม่อ้วน มีวิตามินหลายชนิด เช่น วิตามินเอ ซึ่งจะช่วยในการบำรุงสายตา บำรุงระบบต่างๆ ในร่างกาย ให้ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งราคาก็ไม่แพงด้วย
- ผลไม้
การทานผลไม้ ก็เป็นหนึ่งในตัวช่วยแก้โรคท้องผูกได้เช่นกัน ผลไม้ที่ควรรับประทานได้แก่ กล้วย มะละกอสุก สัปปะรด ผลไม้เหล่านี้จะเป็นตัวช่วยเพิ่มกากใยให้กับลำไส้ ทำให้การขับถ่ายง่ายขึ้น การทานผลไม้ทุกวัน จึงเป็นวิธีการป้องกันที่ดีที่สุด ซึ่งราคาผลไม้ก็ไม่ได้สูงมาก บางชนิดเราปลูกเองได้อยู่แล้ว ไม่ต้องซื้อด้วยซ้ำ
- โยเกิร์ต
การรับประทานโยเกิร์ตวันละ 1 ถ้วย จะทำให้ระบบการย่อยดีขึ้น เป็นการกระตุ้นการขับถ่ายที่ดีที่สุดอีกหนึ่งวิธี เพราะว่าในโยเกิร์ตมีโปรไบโอติก ฉะนั้นในแต่ละวันควรทานโยเกิร์ตอย่างน้อยวันละ 1 ถ้วย นอกจากจะทำให้การขับถ่ายดีขึ้นแล้ว ยังช่วยลดน้ำหนักได้อีกต่างหาก แต่เวลาที่เลือกโยเกิร์ต แนะนำว่าควรเลือกเป็นโยเกิร์ตแท้ ที่ไม่มีส่วนผสมของน้ำตาล ไม่เช่นนั้นอาจจะทำให้อ้วนได้
สังเกตอย่างไรว่าเราเป็นโรคท้องผูกหรือไม่
คนที่เป็นโรคท้องผูกแล้วไม่ได้ทาน อาหารแก้โรคท้องผูก ตั้งแต่เนิ่นๆ เมื่อเวลาผ่านไป อาการก็จะยิ่งหนักขึ้น เพราะฉะนั้นเมื่อคุณรู้สึกว่าตัวเองเริ่มเป็นโรคท้องผูก ก็ควรรีบหาทางแก้ไขเสียตั้งแต่ตอนนั้นเลยจะดีที่สุด ซึ่งอาการของโรคท้องผูกได้แก่
- อุจจาระเป็นก้อนแข็ง ใช้เวลาในการอุจจาระนาน
- มีการขับถ่ายน้อยกว่า 3 ครั้งต่อ 1 สัปดาห์ แสดงว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคท้องผูก
- รู้สึกเหมือนยังอุจจาระไม่สุด แม้ว่าจะเพิ่งอุจจาระเสร็จไป
- ต้องใช้แรงในการเบ่งอุจจาระมากขึ้น
ท่านใดที่มีอาการเหล่านี้อยู่ แสดงว่ามีความเสี่ยงเป็นโรคท้องผูก ต้องรีบทำการแก้ไขโดยด่วน หรือถ้าให้ดี แนะนำให้ปรึกษากับแพทย์จะดีที่สุด จากนั้นก็ควรปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหาร และการใช้ชีวิตใหม่ เพื่อให้ร่างกายกลับเข้าสู่ภาวะปกติ
อาหารที่ผู้ป่วยโรคท้องผูกควรหลีกเลี่ยง
สิ่งที่ผู้ป่วยโรคท้องผูกควรทำการแก้ไขโดยด่วน นอกจากการทาน อาหารแก้โรคท้องผูกแล้วก็คือการเปลี่ยนพฤติกรรมการทานอาหาร เปลี่ยนอาหารที่ทานเป็นประจำ เพราะหากยังทานเหมือนเดิม โรคท้องผูกก็ยังไม่หายไปไหน หรือบางทีอาจจะเป็นหนักกว่าเดิมด้วยซ้ำ มีอาหารอะไรบ้างที่ควรหลีกเลี่ยง
- เนื้อแดง การทานอาหารประเภทเนื้อแดง จะทำให้ร่างกายย่อยได้ยากกว่าอาหารชนิดอื่น และยิ่งคนที่เป็นโรคท้องผูกอยู่แล้ว แล้วยังรับประทานอาหารที่ย่อยยากเข้าไปอีก ก็ยิ่งทำให้อาการแย่กว่าเดิม เป็นอาหารที่ควรหลีกเลี่ยงหรือทานให้น้อยลง
- นม อาหารประเภทนม เมื่อเราดื่มเข้าไปแล้ว จะทำให้รู้สึกท้องอืด เพราะว่ามีแก๊สเกิดขึ้นในกระเพาะอาหาร ทำให้ผู้ที่มีอาการท้องผูกอยู่แล้ว รู้สึกอึดอัดมากขึ้นไปอีก ฉะนั้นทางที่ดี ควรงดดื่มนมในช่วงที่เรามีอาการท้องผูกจะดีกว่า
- ของหวาน แม้ว่าจะเป็นของโปรดของหลายๆ คน แต่ก็ควรหลีกเลี่ยงเช่นกัน เพราะการทานของหวานขณะที่มีอาการท้องผูก จะยิ่งทำให้อาการแย่หนักขึ้นไปอีก เพราะว่าน้ำตาลจะเข้าไปแย่งน้ำในร่างกาย เท่ากับทำให้การขับถ่ายยากขึ้น
- อาหารฟาสต์ฟู๊ด อาหารเหล่านี้จะมีไขมันสูง มีเกลือ และแป้งสูง เป็นอาหารที่ผ่านกระบวนการแปรรูปหลายขั้นตอน ซึ่งหากรับประทานเข้าไปแล้ว จะทำให้ลำไส้ทำงานหนัก เพราะว่าย่อยยาก และมีกากไยน้อย นอกจากนี้อาหารฟาสต์ฟู๊ด ยังเสี่ยงทำให้เกิดโรคอ้วนได้อีกด้วย ควรงดไปก่อน
เคล็ดลับการกระตุ้นให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้น
ผู้ที่เป็นโรคท้องผูกแล้ว นอกจากจะทาน อาหารแก้โรคท้องผูก แล้ว คุณต้องรู้จักวิธีการกระตุ้นตัวเอง ให้ขับถ่ายได้ง่ายขึ้นด้วย มาดูว่าทำอย่างไร
- ออกกำลังกายให้มากขึ้น การออกกำลังกายเป็นประจำ จะช่วยให้ร่างกายทำงานได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ ระบบการทำงานของร่างกายทำง่ายได้ดี รวมไปถึงระบบการย่อยอาหารด้วย ฉะนั้นควรออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 20-30 นาที จะช่วยให้ระบบการขับถ่ายทำงานได้ดีขึ้น
- ดื่มน้ำให้เพียงพอ เพราะน้ำจะทำให้อุจจาระของเราไม่เป็นก้อนแข็ง เวลาที่ขับถ่ายก็ต้องใช้แรงเบ่งมาก ไม่ใช้เวลาขับถ่ายนาน ฉะนั้นในแต่ละวันควรดื่มน้ำสะอาดอย่างน้อยวะละ 8 แก้ว จะช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น
- ไม่เครียด ความเครียดก็เป็นอีกหนึ่งสาเหตุที่ทำให้เกิดโรคท้องผูก ฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงความเครียดให้ได้ พยายามทำจิตใจผ่องใส มีความสุขทุกวัน แล้วการทำงานของระบบขับถ่ายจะดีขึ้นตามไปด้วย อีกอย่างความเครียดยังเสี่ยงทำให้เกิดผลกระทบอย่างอื่นกับร่างกายด้วย รวมถึงโรคเครียด
คนที่เป็นโรคท้องผูก ควรดูแลตัวเองอย่างไร
การดูแลตัวเองของคนที่เป็นโรคท้องผูก สิ่งสำคัญอย่างแรกก็คือการเปลี่ยนพฤติกรรมของตัวเองใหม่ทั้งหมด เพราะโรคท้องผูก ส่วนใหญ่แล้วเกิดจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตของเราเอง สิ่งที่ต้องเปลี่ยนทันทีเลยก็คือ การเปลี่ยนจากอาหารที่รับประทานในอดีตเป็น อาหารแก้โรคท้องผูก หากนอนไม่เป็นเวลา พักผ่อนน้อย ก็ควรเข้านอนให้ตรงเวลา พักผ่อนให้เพียงพอ และต้องหมั่นออกกำลังกายให้บ่อยขึ้น แค่เปลี่ยนไม่กี่อย่างนี้ โรคท้องผูกก็จะไม่มาสร้างความเดือนร้อนให้คุณอีกแล้ว คนที่ยังไม่เป็นโรคท้องผูก ก็ควรเปลี่ยนตั้งแต่เนิ่นๆ ไว้เลยจะดีที่สุด
สรุปส่งท้าย
โรคท้องผูก หากเราแก้ไขต้องแต่เนิ่นๆ ด้วยการทาน อาหารแก้โรคท้องผูก ก็ไม่ต้องกังวลอะไร แต่ถ้าปล่อยไว้นานไปเรื่อยๆ มีโอกาสที่จะกลายเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ ฉะนั้นไม่ควรมองข้ามเรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนี้จะดีที่สุด
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับอาหารแก้โรคท้องผูก
คนที่เริ่มรู้สึกตัวเองเริ่มขับถ่ายลำบาก ขับถ่ายยาก หรือนานๆ ครั้งจะขับถ่ายสักที แสดงว่าเป็นอาการของโรคท้องผูก ควรเริ่มทานอาการแก้โรคท้องผูกไว้เลย
โรคท้องผูก หากปล่อยเอาไว้นานเข้า ไม่เปลี่ยนพฤติกรรมการกิน และพฤติกรรมการใช้ชีวิต ในวันข้างหน้าอาจจะกลายเป็นโรคที่รุนแรงขึ้นไป เช่น โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นแผลในลำไส้ เป็นต้น ซึ่งจะรักษายากกว่าโรคท้องผูกหลายเท่า ถ้าหากเราดูแลตัวเองไม่ให้เป็นโรคท้องผูก ความเสี่ยงของโรคร้ายแรงเหล่านี้ก็จะไม่เกิดขึ้น
สามารถทานทุกวันได้เลย เพราะอาหารแก้โรคท้องผูก ก็เหมือนกับอาหารทั่วไปนั่นเอง ส่วนใหญ่ก็เป็นอาหารจากธรรมชาติที่อยู่ใกล้ตัวเราอยู่แล้ว แค่เราเปลี่ยนมารับประทานให้บ่อยขึ้นกว่าเดิม และงดอาหารที่เราเคยทานมาก่อนหน้านี้ให้น้อยลง